(วิเคราะห์กระบวนการเติบโต การตามหาตัวตน
การค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ในบริบทของตัวละคร)
วรรณกรรมเยาวชน
เรื่อง พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ หรือ The Wonderful
Wizard of Oz โดย ลีแมน แฟรงก์ บอม การผจญภัยของห้าตัวละครหลัก
ได้แก่ เจ้าหุ่นไล่กา, ชายตัดไม้ดีบุก, เจ้าสิงโต, เด็กหญิงโดโรที
และ เจ้าหมาน้อยของเธอโตโต้ เพื่อค้นหาหนทางกลับสู่บ้านของพวกเขา และระหว่างการเดินทางที่แสนยาวนานพวกเขาก็ได้สิ่งที่สำคัญกว่าจุดหมายอย่างบ้าน
แต่คือการได้ค้นพบตัวเอง
พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ คือ เรื่องราวการเดินทางของโดโรทีเด็กสาวที่ถูกพายุไซโคลพัดจากบ้านไร่แคนซัส
มายังดินแดนวิเศษพร้อมกับเจ้าหมาน้อยโตโต้ เธอได้สวมรองเท้าเงินวิเศษของแม่มดชั่วร้ายประจำทิศตะวันออก
และออกเดินทางไปตามพื้นที่ปูด้วยอิฐสีเหลืองตามคำแนะนำของแม่มดใจดีประจำทิศเหนือโดยมีจุดหมายคือเมืองมรกตเพื่อขอร้องพ่อมดออซให้ช่วยส่งเธอกลับบ้าน
เธอมีเพื่อนร่วมการเดินทางครั้งนี้เป็น เจ้าหุ่นไล่กาที่ต้องการจะขอสมองจากพ่อมด,
ชายตัดไม้ดีบุกที่ต้องการขอหัวใจจากพ่อมด,และ
เจ้าสิงโตที่ต้องการขอควมกล้าหาญจากพ่อมด
ระหว่างการเดินทางอันยาวนานพวกเขาเจออุปสรรค์มากมาย
เจ้าหุ่นไล่กามักมีความคิดดีๆเสมอ, ชายตัดไม้ดีบุกก็มักจะอ่อนไหวเสมอ,
และพวกเขาก็ต้องพึ่งความกล้าหาญของเจ้าสิงโตอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองมรกต พ่อมดออซกลับไม่ใช้พ่อมดวิเศษผู้ยิ่งใหญ่ตามที่พวกเขาคาดหวัง
แต่กลับเป็นชายแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือด้วยเวทมนต์วิเศษแต่ทุกตัวละครก็ได้พบว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ด้วยตัวพวกเขาเอง
โดโรทีถูกพายุไซโคลพัดออกจากบ้านเกิดที่แคนซัส
เนื้อเรื่องได้บรรยายความอึมครึมและไม่น่าอยู่ของแคสซัสอย่างชัดเจน ซึ่งตรงกันข้ามกับดินแดนแห่งมันช์กินส์ที่เธอถูกพายุหอบมาถึง
เพราะดินแดนแห่งนี้ทั้งสดใสและมีสีสัน รวมถึงเมืองมรกตของพ่อมดออซที่เป็นเหมือนเมืองหลวง
เป็นศูนย์กลางที่ร่ำรวยซึ่งคือปลายทางของเธอ
พายุไซโคลในที่นี้อาจหมายถึงกระแสสังคมที่ดึงให้สาวชาวบ้านเดินทางออกจากบ้านเกิดสู่ความศิวิไลซ์ในเมืองหลวง
ระหว่างทางก็ได้เก็บเกี่ยวประสบกรณ์แเละพบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่สวยงาม แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องโหยหาที่จะกลับบ้านเกิดของตัวเอง
จากบทสนทนาระหว่างโดโรทีและเจ้าหุ่นไล่กา
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอจึงอยากจากดินแดนอันแสนสวยงามแห่งนี้กลับไปยังดินแดนที่หม่นหมองแห้งแล้งที่เธอเรียกว่าแคนซัส”
“ก็เพราะเธอไม่มีสมองน่ะสิ...ไม่ว่าบ้านจะหม่นหมองและเงียบเหงาแค่ไหน
คนที่มีเลือดเนื้ออย่างเรา ก็อยากอยู่ที่บ้านของเราเองมากกว่าดินแดนอื่นแม้จะงดงามเพียงใดก็ตาม
ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า67-68)
บ้านในที่นี้อาจตีความได้สองความหมาย คือ บ้านที่อยู่จริงๆ และ
บ้านในใจ หรือตัวตนที่แท้จริงนั่นเอง
จากบทสนทนาข้างต้นเพราะเหตุใดโดโรทีจึงอยากกลับบ้านที่แคนซัส แน่นอนว่าเธอต้องมีความผูกพันกับแคนซัส
คุณลุงและคุณป้าของเธอ เธอเองไม่ได้แปรผันไปตามดินแดนวิเศษนี้
นั้นหมายถึงเธอรู้ถึงรากเหง้าของตัวเอง มีความหนักแน่นและรู้จักตัวเอง
การตามหาทางกลับบ้านจึงไม่ได้เป็นเพียงการหาทางกลับบ้านธรรมดาๆและเป็นการตามหาตัวตนที่แท้จริงของเธอไปพร้อมๆกัน
การได้จากบ้านเกิด และออกเดินทางของโดโรทีมีประโยชน์
เพราะการได้ไปอยู่ในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยจะทำให้เราได้ค้นพบความสามารถหรือได้รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น
โดโรทีถูกพายุหอบมาไกลจากผู้ปกครอง(คุณลุง,คุณป้า)ทำให้เธออยู่ในสภาวะที่ต้องพึ่งพาตัวเองรวมทั้งดูแลเจ้าหมาน้อยโตโต้
และเป็นอิสระจากการควบคุมดูแลของผู้ใหญ่ โดยรองเท้าเงินวิเศษที่โดโรทีสวมไว้
อาจเป็นสัญลักษณ์แทน ความอิสระ
และ นอกจากโดโรทีเองตัวละครหลักอื่นๆก็ยังจากถิ่นที่อยู่ของตัวเองเช่นกัน
เจ้าหุ่นไล่กาออกจากไม้ค้ำ, ชายตัดไม้ดีบุกได้หยอดน้ำมันจนขยับได้อีกครั้งและออกเดินทางร่วมกับโดโรที
เช่นเดียวกันกับเจ้าสิงโตที่ออกจากป่า
และแน่นอนว่าท้ายที่สุดทุกตัวละครจะได้กลับบ้าน หรือ สถานที่ที่เหมาะกับพวกเขา
การค้นหาสมองของเจ้าหุ่นไล่กา :
อัตลักษณ์ของเจ้าหุ่นไล่กาที่สังคมมอบให้สามารถรับรู้ได้ผ่านคำพูดของเจ้าหุ่นไล่กา
ที่ว่า “...เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นหุ่นถูกยัดด้วยฟาง
ดังนั้นฉันจึงไม่มีสมอง”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า63)
เพราะมันเป็นเพียงหุ่นที่ถูกยัดด้วยฟาง
มันจึงกลายเป็นไม่มีสมอง แต่มันจริงหรือ
มันกล่าวต่อว่า“...ฉันไม่อยากให้ใครเรียกว่าไอโง่
ถ้าหัวฉันมีแต่ฟางยัดแทนที่จะมีสมองอย่างของเธอแล้วฉันจะรู้เรื่องราวต่างๆได้อย่างไรล่ะ”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า64)
ซึ่งการที่มันคิดได้แบบนี้ก็หมายความว่า มันมีสมองแล้วเพียงแต่มันไม่รู้ตัว
เรื่องราวของเจ้าหุ่นไล่กา
ทำให้ผู้อ่านทราบว่าความรู้เกิดจากประสบการณ์ และกระบวนพัฒนาของหุ่นไล่กาตัวนี้ก็เหมือนการพัฒนาการของเด็ก
มันเล่าว่า “ อายุของฉันน้อยมาก
ฉันจึงแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ...ชาวนาทำหัวฉันขึ้น
สิ่งแรกที่เขาทำคือหู...แล้วเขาก็เขียนตาขวาให้ฉัน...ฉันพบว่าตัวเองกำลังจ้องดูเขากับสิ่งรอบกายด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น...แต่ฉันไม่ได้พูดเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าปากเอาไว้ทำอะไร...”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า68-69)
เปรียบกับเด็กทารกในครรภ์มารดาที่รับรู้จากเสียง
เมื่อเกิดก็รับรู้ด้วยการมองเห็น และจึงค่อยเรียนรู้ที่จะพูด
การที่เจ้าหุ่นไล่การู้น้อยเพราะประสบการณ์น้อยไม่ได้แปลว่ามันไม่มีสมอง
พ่อมดออซยังได้กล่าวไว้ว่า “เธอไม่จำเป็นต้องมีสมองหรอก
เธอเรียนรู้อะไรๆได้อยู่ทุกวันเด็กทารกก็มีสมอง แต่เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากนะ
ประสบการณ์เป็นสิ่งเดียวที่จะนำมาซึ่งความรอบรู้
และยิ่งเธออยู่ในโลกนี้นานเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า194-195)
ข้อพิสูจน์ว่าเจ้าหุ่นไล่กามีสมองคือ
มันแสดงความชาญฉลาดหลายครั้ง เช่น ตอนที่ทุกคนเจอคูน้ำขวางทาง เจ้าหุ่นไล่กาเป็นคนออกความคิดเห็นให้ทุกคนขี่หลังเจ้าสิงโตข้ามไปทีละคน
และให้ตัวเองเป็นคนลองก่อนเพราะหากตกลงไปตัวเองเป็นหุ่นไล่กาจะไม่เจ็บ เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเจอกับพ่อมดออซด้วยซ้ำแสดงให้เห็นว่าจริงๆสิ่งที่มันร้องขออยู่ในตัวมันแล้ว
ต่อมาพ่อมดออซได้มอบรำผสมหมุดและเข็มใส่ในหัวมันแทนสมอง คล้ายเป็นกุศโลบายให้รู้สึกว่ามันมีสมองแล้ว
ในที่สุดมันก็ได้พบสถานที่ที่เหมาะกับมัน เจ้าหุ่นไล่กาที่ตอนนี้มีสมองหลักแหลม
ได้ขึ้นปกครองประชาชนแทนพ่อมดออซที่ล่องบอลลูนกลับบ้านตัวเองไป
การค้นหาหัวใจของชายตัดไม้ดีบุก :
ชายตัดไม้ดีบุกมีความเข้าใจผิดๆว่า
ต้องมีหัวใจจึงจะมีความรักได้ แล้วความรักคืออะไร ถ้าหากความรักคือความเมตตา ชายตัดไม้ดีบุกก็ได้แสดงออกว่าเขามีจิตใจที่เมตตาและอ่อนไหวในหลายสถานการณ์
ตัวอย่างเช่น “ฉันคงจะร้องไห้แน่ๆ
ถ้าเจ้าฆ่ากวางที่น่าสงสาร”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า 92)
และ “ชายตัดไม้ดีบุกก้าวไปเหยียบตัวด้วงคลานอยู่บนถนนและแมลงตัวน้อยที่น่าสงสารนั้นตาย
เรื่องนี้ทำให้ชายตัดไม้ดีบุกรู้สึกเศร้าโศกมากเพราะมันระวังอยู่เสมอที่จะไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตใดๆ”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า89)
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้เชื่อมโยงถึงสิ่งที่พ่อมดออซพูดกับชายตัดไม้ดีบุกว่า
“ฉันคิดว่าเธอคิดผิดแล้วล่ะที่ต้องการหัวใจ
เพราะมันทำให้คนส่วนมากไม่มีความสุข
ถ้าเพียงแต่เธอจะรู้ว่าเธอนั้นโชคดีที่ไม่มีหัวใจ”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า196)
เพราะแท้จริงแล้วชายตัดไม้ดีบุกมีหัวใจ เขาจึงมีทั้งความอ่อนไหวและความสงสารทำให้เขาร้องไห้เสมอๆ
ต่อมาพ่อมดออซได้มอบหัวใจที่ทำด้วยผ้าไหมยัดด้วยขี้เลื่อยให้กับชายตัดไม้ดีบุกเพื่อย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเขามีหัวใจเช่นคนทั่วไปแล้ว
และชายตัดไม้ดีบุกก็ยินดีรับผลของการมีหัวใจ เขาพูดว่า “สำหรับฉันแล้ว ฉันยินดีทนรับกับความไม่สบายใจทั้งปวง...”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า196)
และในที่สุดชายตัดไม้ดีบุกก็ได้ที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมกับตัวมัน
คือการอยู่ปกครองเมืองของพวกวินกีส์
การค้นหาความกล้าหาญของเจ้าสิงโต :
อัตลักษณ์ของเจ้าสิงโตที่สังคมมอบให้
คือ สิงโตเป็นเจ้าป่าจึงต้องกล้าหาญ เห็นได้จากข้อความดังต่อไปนี้“สัตว์ทั้งหลายในป่ามักคิดว่าฉันกล้าหาญ
เพราะที่ไหนๆก็ถือว่าสิงโตเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า87)
นั่นทำให้เจ้าสิงโตเกิดความกังวลเมื่อมันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้น
เพราะมันยังรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีความกลัวอยู่ เจ้าสิงโตพูดกับโดโรทีว่า “ทุกครั้งที่ฉันค้นพบคน
ฉันกลัวมาก แต่แค่ ฉันคำรามขู่เท่านั้น เขาก็มักจะวิ่งหนีไป ถ้าช้าง เสือ และหมีได้ลองสู้กับฉัน
ฉันก็คงจะเป็นฝ่ายวิ่งหนีไปเพราะฉันขี้ขลาด”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า87)
แต่ความจริงแล้วมีหลายเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางที่เจ้าสิงโตแสดงความกล้าหาญ
เช่นสู้กับเจ้าสัตว์ประหลาด “เจ้าสิงโตแม้มันจะกลัวมาก
แต่ก็หันไปเผชิญหน้ากับตัวกาไลดห์ แล้วส่งเสียงคำรามดังสนั่น”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า 97)
และ เจ้าสิงโตพูดว่า
“แต่ยืนอยู่ข้างหลังฉันไว้ ฉันจะสู้กับมันตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า98)
ซึ่งพ่อมดออซได้กล่าวเรื่องความกล้าหาญและความกลัวกับเจ้าสิงโตไว้ว่า “เธอมีความกล้าหาญอยู่แล้ว ฉันมั่นใจ...แต่สิ่งที่เธอต้องการ คือความมั่นใจในตนเอง
ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะไม่ตกใจกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ความกล้าหาญที่แท้จริง
คือ การเผชิญหน้ากับอันตรายนั้น”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า 195)
พ่อมดออซได้มอบน้ำยาวิเศษในขวดสีเขียว
และทำให้เจ้าสิงโตมั่นใจว่ามันมีความกล้าหาญ สุดท้ายเจ้าสิงโตก็ได้เป็นเจ้าป่าสมใจ
เมื่อมันมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว
ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดในป่าแห่งหนึ่งและช่วยสัตว์ตัวอื่นๆไว้ได้
การค้นหาตัวเองของโดโรที:
โดโรทีได้รับคำแนะนำจากแม่มดใจดีประจำทิศเหนือให้เธอเดินไปตามทางที่ปูด้วยอิฐสีเหลืองที่จะนำเธอสู่เมื่องมรกตที่ที่เธอจะได้พบพ่อมดออซและขอให้เขาส่งตัวเธอกลับบ้าน
แต่พ่อมดออซก็ไม่สามรถช่วยเธอได้ เธอกล่าวกับพ่อมดออซว่า “เพราะว่าท่านทรงพลัง ส่วนหนูอ่อนแอ
เพราะว่าท่านคือพ่อมดออซผู้ยิ่งใหญ่
และหนูเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า137)
จากข้อความดังกล่าวแสดงว่า เรื่องดำเนินพาโดโรทีมาถึงเมืองมรกตแต่โดโรทียังไม่ได้พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่
การเดินทางตามคำแนะนำของแม่มดใจดี อาจแทนการทำตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่ชี้แนวทางให้
และโดโรทีก็ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย เมื่อเกิดปัญหาเธอมีเพื่อนร่วมการเดินทางทั้งสามคอยช่วยเหลือ
นั่นแทบไม่ได้ทำให้เธอได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง
เมื่อทุกคนถึงเมืองมรกต
พวกเขาต้องรออยู่นานกว่าจะได้เข้าพบพ่อมดออซ อาจสะท้อนว่า กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการต้องใช้เวลา
เมื่อพ่อมดออซบอกให้พวกเขาไปฆ่าแม่มดชั่วร้ายทิศตะวันตก
สะท้อนว่า กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการต้องใช้ความพยายาม ซึ่งในตอนที่พวกเขาไปฆ่าแม่มดชั่วร้ายทิศตะวันตก
เพื่อนทั้งสามต่างก็ตกที่นั่งลำบาก ทำให้โดโรทีต้องช่วยเหลือตัวเองและเพื่อนๆ
ในที่สุดเธอจัดการกับแม่มดชั่วร้ายจนได้
พ่อมดออซได้มอบของในลักษณะกุศโลบายให้แก่
เจ้าหุ่นไล่กา, ชายตัดไม้ดีบุก, และเจ้าสิงโต พ่อมดออซจึงเปรียบเหมือนตัวช่วยที่ทำให้ทุกตัวละครมีความมั่นใจและมาย้ำให้พวกเขารู้สึกถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัว
แต่สำหรับโดโรที พ่อมดออซไม่สามารถมอบสิ่งที่โดโรทีต้องการได้ ความจริงคือเธอเกือบได้ขึ้นบอลลูนลอยกลับแคนซัสพร้อมพ่อมดออซแล้วแต่เพราะเจ้าหมาโตโต้หายไปเธอจึงต้องไปตามหาและมาขึ้นบอลลูนไม่ทัน
หากสังเกตดีๆเจ้าหมาน้อยโตโต้ก็มีบทบาทต่อการตามหาตัวตนของเธอ
โตโต้กระโจนออกจากอ้อมกอดของโดโรทีในตอนที่พายุไซโครนซัดเข้าใส่บ้าน
นั้นทำให้โดโรทีต้องตามจับจนไม่ได้หลบเข้ายังที่หลบภัย และถูกพายุหอบมายังดินแดนวิเศษนี้
และก็เป็นเจ้าโตโต้ที่เปิดโปงพ่อมดออซว่าเขาเป็นเพียงชายแก่ธรรมดา
และในตอนนี้ยังทำให้โดโรทีไม่ได้ขึ้นบอลลูนไปกับพ่อมดออซ มันทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมด
ถึงแม้จะดูเหมือนมันได้สร้างเรื่องวุ่นวายนี้ แต่มันก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้โดโรทีต้องออกเดินทางเพื่อค้นพบตัวตนและหนทางกลับบ้าน
เมื่อไม่อาจขึ้นบอลลูนไปกับพ่อมมดออซได้
โดโรทีจึงต้องเดินทางไปหาแม่มดใจดีประจำทิศใต้ที่พึ่งสุดท้าย สถานการณ์นี้สะท้อนว่า
โดโรทีต้องลงมือทำเอง ไม่สามารถจะร้องขอหรือรอให้ใครมาช่วยได้
หลังจากที่ทุกตัวละครยกเว้นโดโรทีได้สิ่งที่ตนต้องการแล้ว
จึงอาสาจะเดินทางไปหาแม่มดใจดีประจำทิศใต้ กับเธอ
ซึ่งการเดินทางนี้เป็นการเดินทางที่พวกเขาเลือกเอง ไม่มีการแนะนำจากแม่มดใจดีประจำทิศเหนือหรือใครอีก
การจะค้นพบตัวตนของตัวเองจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง
ความรู้(เจ้าหุ่นไล่หา) จิตใจที่พร้อมรับความเจ็บปวด(ชายตัดไม้ดีบุก)
และความกล้าหาญที่จะลงมือทำ(เจ้าสิงโต) เพราะระหว่างทางการค้นหาตัวตน บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่
เราอาจจะต้องสูญเสียน้ำตา และอาจจะรู้สึกหวาดกลัว
เพื่อนทั้งสามของโดโรทีจึงเป็นตัวแทนในรูปธรรมที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสิ่งสามสิ่งนี้ได้ชัดเจน
และเมื่อโดโรทีมีเพื่อนทั้งสามเดินทางไปกับเธอ ไม่นานพวกเขาพบเม่มดใจดีประจำทิศใต้
แม่มดใจดีประจำทิศใต้ได้บอกโดโรทีว่าว่าหนทางการกลับบ้านที่เธอตามหาอยู่กับเธอมาตั้งแต่ต้น
รองเท้าเงินวิเศษที่เธอสวมสามารถพาเธอกลับบ้านได้ตั้งแต่แรกเริ่ม หากเพียงแต่เธอไม่ได้รู้ว่าเธอมีสิ่งมีค่าอยู่กับตัวแล้ว
จนกระทั่งการเดินทางครั้งนี้มาถึงปลายทาง
ทุกตัวละครได้พูดว่า หากไม่มีการเดินทางครั้งนี้...
เจ้าหุ่นไล่กา “...ฉันก็คงไม่ได้สมองมหัศจรรย์น่ะสิ ฉันคงต้องอยู่ในไร่ข้าวโพดของชาวนาตลอดชีวิต”
ชายตัดไม้ดีบุก “...ฉันก็คงจะไม่มีหัวใจที่แสนเมตตานี้
ฉันอาจต้องยืนตัวขึ้นสนิมอยู่ในป่าจนกระทั่งสิ้นโลก”
เจ้าสิงโต “และฉันก็คงต้องอยู่อย่างขี้ขลาดตลอดไป
และคงไม่มีสัตว์ตัวไหนในป่าที่จะพูดถึงฉันในทางที่ดี”
โดโรที “และฉันก็ดีใจที่ได้ทำประโยชน์ต่อเพื่อนที่ดีเหล่านี้”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ. ลีแมน
แฟรงก์ บอม, หน้า251-252)
หนังสือพ่อมดอัศจรรย์แห่งออซได้แสดงเรื่องราวการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง
ได้ไปพบประสบการณ์ใหม่ๆห่างไกลบ้านเกิดที่แสนน่าเบื่อ
อย่าได้ไปสนใจว่าสิ่งแวดล้อมพยายามบอกว่าคุณเป็นอะไร หรือควรทำอย่างไร
และอย่าหวังพึ่งคนอื่นตลอดไป เพราะสุดท้ายทุกคนต่างก็ต้องเติบโตด้วยตัวเอง
และมีเพียงตัวคุณเองที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของคุณได้ แค่คุณต้องเก็บเกี่ยวความรู้,
มีหัวใจทีเข้มแข็ง, และมีความกล้าหาญ ในที่สุดวันหนึ่งคุณจะค้นพบสิ่งมีค่าในตัว
และจะหาสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเองจนพบ
โดย เจลดา นิสิตสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็ก มศว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น