Whisper of
the heart ภาพยนตร์อะนิเมะจากสตูดิโอจิบลิ
ว่าด้วยเรื่องการค้นหาตัวตนและเป้าหมายในชีวิตควบคู่ไปกับเส้นทางความรักใสๆในวัยเรียนของเด็กสาวคนนึง
ซึ่งเป็นความรักที่ไม่ได้ขัดขวางอนาคต
แต่เป็นแรงใจให้กันและกัน
หากจะกล่าวว่าช่วงชีวิตของคนเราก็เหมือนเกลียวคลื่นที่มาเป็นละลอกๆ
ช่วงเวลาที่คนเราจะต้องเลือกเส้นทางของชีวิตก็เหมือนคลื่นละลอกแรกที่ซัดเข้าใส่ใจเรา
บ้างก็แรงจนรับรู้ แต่บางครั้งก็แผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก นี้คือเหตุผลที่เราควรหยุดฟังเสียงกระซิบจากหัวใจของตัวเอง
ว่าจริงๆแล้วเราคือใคร เราชอบอะไร และอยากจะทำอะไร
Whisper of the heart คือเรื่องราวของชิซึคุ สึกิชิมะ เด็กสาวหนอนหนังสือผู้มีความสามารถด้านกวี ในช่วงเวลาปิดภาคเรียน
เธอได้สังเกตเห็นชื่อของเด็กชายคนหนึ่งในบัตรห้องสมุดของหนังสือแทบทุกเล่มที่เธอยืมมาอ่าน
ทำให้เธอเริ่มสนใจในตัวเขา ซึ่งเด็กชายคนนั้น คือ เซย์จิ อามาซาว่า ที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเธอนั่นเอง
และเซย์จิเองก็แอบชอบเธอมานานแล้วเช่นกัน
ชิซึคุได้พบกับคุณตาท่าทางใจดีเจ้าของร้านขายของเก่า
ผ่านการนำทางจากเจ้าแมวอ้วนตัวหนึ่ง ซึ่งภายในร้านมีรูปสลักแมวBaronที่แสนลึกลับอยู่ ต่อมาชิซึคุได้รู้ว่าเซย์จิคือหลานชายแท้ๆของคุณตา และเขามีความสามารถในการทำไวโอลิน ความฝันในการเป็นช่างทำไวโอลินของเซย์จิ
และกำลังใจจากคุณตา ได้จุดประกายความฝันการเป็นนักเขียนของชิซึคุให้ลุกโชน
ความรักและความฝันของชิซิคุและเซย์จิได้ดำเนินไปพร้อมๆกัน
ในช่วงที่เซย์จิเดินทางไปเรียนทำไวโอลิน ชิซิคุเองก็ฝึกเขียนนิยาย แม้จะต้องสละเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบและทำให้การเรียนของเธอตกลงไปมาก
แต่เธอก็ขอทดสอบตัวเองสักครั้ง
เธอตั้งใจจะรีบเขียนให้เสร็จเพื่อนำไปให้คุณตาอ่าน
ผลงานชิ้นแรกของเธอแม้จะออกมาขาดๆเกินๆไม่ได้สมบรูณ์ แต่คุณตาก็ชื่นชมและบอกให้เธออย่าหยุดฝึกฝน
คุณตาได้เล่าเรื่องความเป็นมาของรูปสลักแมวBaron แลกกับการได้อ่านนิยายของเธอเป็นคนแรก
หลังจากอดหลับอดนอนเขียนนิยายมานาน
ชิซิคุก็กลับบ้านและหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ได้พบกับเซย์จิอีกครั้ง
ทั้งคู่ดีใจที่ได้พบกันอีก และสัญญาว่าจะทำตามความฝันของตนต่อไป ก่อนจะขึ้นไปดูแสงแรกของวันใหม่ด้วยกัน
คนเราทุกคนมีพรสวรรค์หรือสิ่งที่เราทำได้ดี
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ความสามารถด้านกวีของตัวเอก “ชิซิคุ”ได้แสดงให้ผู้ชมรับรู้ผ่านบทเพลง country road ที่เธอแปล/แปลง/แต่งขึ้น รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัวเธอที่กล่อมเกลาให้เธอออกมาเป็นเด็กที่รักในกวี
จากการที่คุณพ่อทำงานในห้องสมุด และที่บ้านก็มีแต่กองหนังสือเต็มไปหมด
จึงไม่น่าแปลกใจที่ชิซิคุจะชอบอ่านหนังสือ และอยากที่จะแต่งหนังสือของตัวเอง
แต่แค่ความชื่นชอบจะมีพลังเพียงพอให้เธอสู้ต่อเพื่อมันหรือไม่
ในช่วงแรกชิซิคุยังไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด จนกระทั่งเธอได้พบกับเซย์จิ ที่มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่วแน่ในการเป็นช่างทำไวโอลินและพยายามจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
กับคุณตาของเขาที่เข้าใจเธอดีไปซะทุกอย่าง ความชื่นชมที่เธอมีต่อตัวเซย์จิทำให้เธอรู้สึกว่าเธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอคู่ควรกับเขาจากคำพูดที่ว่า
”ถ้าเขาลองพยายามดู ฉันก็จะลองพยายามดูด้วย” และคำพูดชมของเซย์จิที่มีต่อผลงานเพลง country road ของเธอทำให้เธอมั่นใจที่จะไปในเส้นทางนี้
ครอบครัวคือคนสำคัญที่จะส่งเสริมหรือขัดขวางความฝันของเด็กๆ บทสนทนาของชิซึคุและเซย์จิก็แสดงให้เห็นว่าครอบครัวของเซย์จิเองก็ไม่เห็นด้วยที่เขาตัดสินใจจะเรียนทำไวโอลินมากกว่าเรียนต่อตามระบบทั่วๆไป
แต่เขามีคุณตาที่ยังคงสนับสนุนเขาอยู่ ซึ่งมันทำให้เขายังคงมีความกล้าที่จะทำตามฝันอยู่
เขาได้พูดกับชิซึคุว่า “ถ้าไม่ลองดูก่อนก็คงไม่รู้” ส่วนชิซึคุ เธอโชคดีที่ครอบครัวเปิดโอกาสให้เธอเลือกทำอย่างที่ใจต้องการ
แม้จะทำให้ผลการเรียนของเธอแย่ลงและมันอาจส่งผลเสียในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอซึ่งทำให้พ่อและแม่เป็นห่วง
แต่พวกเขาก็ใจกว้างและรับฟังเหตุผลของเธอ เห็นได้จากที่พ่อแม่เรียกเธอมาคุยและปรึกษากัน
ในบทสนทนาเมื่อชิซึคุยืนยันว่าสิ่งที่เธอจะทำมันสำคัญกับเธอมาก แม่ได้พูดขึ้นว่า “ฉันก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกัน” ซึ่งหมายความว่าควรให้โอกาสชิซึคุ และพ่อจึงตัดสินใจและบอกกับชิซึคุว่า
“หนูต้องทำในสิ่งที่หนูเชื่อ แต่มันยากที่จะหาทางเดินของตัวเอง
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็โทษคนอื่นไม่ได้นะ” แสดงให้เห็นถึงการพยายามที่จะเข้าใจในความคิดของลูกสาวแต่ก็พยายามพูดให้ชิซึคุเตรียมใจกับความผิดหวังไว้ด้วย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างการทำตามหัวใจ
คือ ความรู้สึกกลัวหรือไม่มั่นใจ ซึ่งภาพยนตร์แสดงผ่านบทสนทนาที่คุณตาพูดกับชิซึคุและได้ให้ก้อนหินที่มีอัญมณีอยู่ภายในกับเธอ
คุณตาบอกว่า “หนูต้องหาอัญมณีข้างใน แล้วค่อยๆเจียระไน
เป็นงานที่ใช้เวลา” และเธอก็ตอบว่า “หนูกลัวที่จะรู้ว่าจะมีอะไรที่สวยงามในตัวหนูรึป่าว”
ไม่มีทางที่คนเราจะทำอะไรสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมือทำ
สิ่งที่ทุกคนเป็น เมื่อเริ่มมีเป้าหมายในชีวิต คือการรีบร้อนทำมัน ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นแต่ก็ยอมรับว่าตัวฉันเองก็เป็น
มันอาจจะเป็นความใจร้อนของเด็กวัยนี้
ซึ่งภาพยนตร์ก็นำเสนอผ่านช่วงเวลาที่ชิซึคุเลือกที่จะทดสอบตัวเองนั่นเอง
เธอฝั่งตัวอยู่กับการรีบเขียนงานแรกให้เสร็จ และเอาไปให้คุณตาอ่าน ซึ่งคุณตาก็ได้ชื่นชมเป็นกำลังใจก่อนจะพูดกับเธอว่า
“ไม่ต้องรีบร้อนค่อยๆใช้เวลาขัดเกลามันเถอะนะ” (ครูเกริกก็เคยพูด)
ซึ่งคำพูดในช่วงนี้ก็ไปกระทบใจของชิซิคุเป็นอย่างมากจนทำให้เธอร้องไห้ออกมา
ไม่ใช่เพราะเศร้าที่ผลงานครั้งแรกไม่ดี แต่เพราะมีคนเข้าใจและให้กำลังใจเธอ นั่นทำให้ชิซึคุคิดว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกมาก
จึงตัดสินใจว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอได้พูดว่า “ฉันดีใจที่ได้ทดสอบตัวเองนะ ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น”
ในช่วงท้ายของเรื่อง
ตอนที่เซย์จิขี่จักรยานและชิซึคุซ้อนท้ายขับขึ้นเนินสูง ชิซึคุลงจากเบาะนั่งและช่วยเข็นจักรยานขึ้น
พร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่ต้องการเป็นแค่สัมภาระนะ” ทำให้ฉันคิดว่านั่นอาจหมายถึง
เธอจะต้องพยายามให้เท่าเซย์จิ จะไม่ยอมให้เขานำหน้าแล้วเธอเกาะเขาไป
แต่เธอจะเดินเคียงข้างเขา และจะทำฝันของเธอให้สำเร็จเช่นกัน
ภาพยนตร์ได้สะท้อนความจริงช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจที่เด็กทุกคนน่าจะเคยผ่านมาได้ตรงจุดมากๆ
ส่วนเรื่องราวไม่ได้ให้ความสำคัญไปที่ความรักชาย-หญิง
แต่มุ่งไปที่ประเด็นการกล้าที่จะทำตามเสียงเรียกร้องจากใจเพื่อค้นหาตัวตน
และเส้นทางชีวิตในวันข้างหน้าด้วยตัวเองมากกว่า เรื่องความรักเป็นเพียงองค์ประกอบ
ซึ่งองค์ประกอบเหล่านั้นเองก็น่าจะเคยเกิดกับใครหลายๆคนเช่นกัน เช่น การจิตนาการถึงชายในฝัน
การแอบชอบเพื่อนร่วมห้อง เป็นต้น และภาพยนตร์ได้บอกกับผู้ชมว่า ท้ายที่สุด
เราทุกคนก็ต้องกลับมาฟังความต้องการจริงๆ(เสียงจากใจ)ของตัวเอง
แต่การจะรับรู้ได้บางครั้งก็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
และเมื่อเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราก็ต้องลงมือทำ ลองเพื่อจะได้รู้ว่าทางนี้มันใช่ตัวเราไหม
และเราควรจะทำอย่างไรต่อเพื่อมัน เพราะไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ มันจะทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
ซึ่งสุดท้ายเราจะตอบได้เองว่า ตัวตนของเราคืออะไร และเราจะทำอะไรต่อไปในอนาคต
โดย เจลดา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น