Alice’s
Adventure (to grow up) in Wonderland
Alice’s Adventure in
Wonderland หรือ อลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์เป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียงของอังกฤษและได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิกเล่มหนึ่งของโลก
แต่งโดยลูอิส คาร์รอล แปลและเรียบเรียงโดย ระวี ภาวิไล แปลบทร้อยกรองโดย วิญญาณ์
ภาวิไล อลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์เป็นวรรณกรรมที่ยังคงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
บ้างก็ว่าเป็นวรรณกรรมNon sense เป็นการเล่นกับคำและภาษาไม่ได้สื่อความหมายอะไร
แต่บ้างก็ว่าวรรณกรรมเรื่องนี่แฝงเรื่องราวของเด็กที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ทางด้านวุฒิภาวะ
ดังนั้นนอกจากจะวรรณกรรมเรื่องที่จะเปี่ยมด้วยจินตนาการและเข้าใจโลกแห่งความคิดฝันของเด็กแล้ว
วรรณกรรมเรื่องนี้ยังแฝงปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้ง รวมทั้งคุณค่าสอนใจมากมาย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ เป็นวรรรณกรรมที่เป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้
เสน่ห์ของอลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ คือ การเสียดสี เล่นกับคำ และการออกแบบตัวละครในลักษณะที่ดูกลับตาลปัตรผิดไปจากภาพจำของผู้คน
เช่น การที่ผู้ใหญ่ทำตัวไม่สมกับวัย และอลิซที่เป็นเด็กกลับดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์คือเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีชื่อว่า
“อลิซ” วันหนี่งขณะที่เธอกำลังเล่นอยู่ในสวนกับพี่สาว
จู่ๆ เธอก็เห็นกระต่ายขาวมีดวงตาสีชมพูตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาด้วยท่าทางรีบร้อน
มันพูดว่า “ตายจริง ตายจริง ฉันไปสายแน่ๆ” พร้อมควักนาฬิกาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นดูเวลา
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอลิซจึงวิ่งตามมันไปและกระโดดลงไปในโพรงของกระต่าย
การกระโดดครั้งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยสุดเพี้ยน
เธอได้เจอะเจอเรื่องราวประหลาดและไร้เหตุผลมากมาย ทั้งเหล่าสัตว์พูดได้ ผู้คนที่พิลึก
ทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมด เธอต้องเอาตัวรอดจากสถานาการณ์ต่างๆให้ได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพียงความฝันที่เธอเผลอหลับในสวนนั่นเอง
อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ สะท้อนความคาดหวังของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก
หวังให้เด็กปฏิบัติตามอย่างที่ตนต้องการ ชอบเด็กที่เชื่อฟัง อยู่ในกรอบ
และในทางตรงกันข้ามไม่ชอบเด็กที่ไม่ทำตามคำสั่ง
เด็กเหล่านั้นจะถูกมองว่าเป็นเด็กดื้อ ไม่มีมารยาท ฯลฯ และที่น่าประหลาดใจคือนิสัยหลุดโลกของตัวละครผู้ใหญ่ทั้งหมดในวรรณกรรมเรื่องนี้
สามารถพบเห็นได้ในโลกความเป็นจริงเพราะมันคือการล้อเลียนนิสัยจริงๆของผู้ใหญ่ทั่วไปเพียงแต่ทำให้เด่นชัดขึ้น ในขณะที่พวกพวกผู้ใหญ่ชี้นิ้วสั่งให้เด็กทำนู้นนี้ตามแต่ใจ
พวกเขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าบางครั้งพวกเขาก็ทำตัวไม่ต่างจากเด็กๆเลย ผู้ใหญ่มักจะรู้สึกว่าการมีอายุมากกว่าทำให้เขามีอำนาจ
และสามารถสั่งหรือจัดการกับชีวิตของคนที่เด็กกว่าได้โดยไม่คิดว่าสิ่งที่กระทำเป็นการเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ
ตีกรอบ และคุกคามตัวตนของเด็ก
จะเห็นได้จากหลายๆตอนที่จะมีการสั่งให้อลิซทำนั่นทำนี่ ดังที่จะเห็นในตัวอย่างต่อไปนี้เช่น
ตอนที่เจ้าหมวกเจอกับอลิซ คำแรกที่เจ้าหมวกพูดกับอลิซคือ “ผมเธอยาวแล้วควรตัดเสียที” (อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์,คาร์รอล,ระวี ภาวิไล, หน้า82)
เหมือนกับพวกผู้ใหญ่ที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการชีวิตของเด็กในทุกๆด้าน
เวลาเห็นอะไรที่ไม่ชอบในตัวเด็กก็จะตำหนิหรือสั่งให้เปลี่ยนแปลงทันที
ซึ่งอลิซตอบกลับเจ้าหมวกว่า “เธอไม่ควรกล่าวถึงร่างกายของคนอื่น...มันเป็นมรรยาททรามมาก” (อลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์,คาร์รอล,ระวี ภาวิไล, หน้า82)
คำพูดของอลิซคือการสวนกลับผู้ใหญ่ที่ชอบยุ่งกับชีวิตของเด็กๆโดยไม่รู้ตัว
ผู้ใหญ่ในอลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์มีลักษณะไม่เข้าเรื่อง ไม่มีเหตุผล
เอาแต่ใจจึงทำให้ไม่น่าเชื่อฟัง ซึ่งแสดงออกมาทั้งในรูปแบบของคำพูด ความคิด
หรือการแต่งกาย ทำให้เกิดคำถามว่า เด็กจำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอไปด้วยหรือ
เพราะไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะคิดในสิ่งที่ดีและถูกต้องเสมอ ดังที่จะเห็นในตัวอย่างต่อไปนี้
มหาดเล็กเป็นอีกหนึ่งตัวละครผู้ใหญ่ที่มีความคิดประหลาด
และไม่สามารถให้คำแนะนำหรือช่วยเหลืออลิซได้
แสดงให้เห็นว่าความคิดของผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เข้าท่าเสมอไป
ดังที่จะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
เจ้ามหาดเล็กหัวเป็นปลาพูดกับอลิซที่พยายามจะเข้าไปในบ้านของคุณนาย
“อลิซเดินเข้าไปเคาะประตูอย่างเกรงกลัว
“ไปเคาะทำไม ไม่มีประโยชน์” เจ้ามหาดเล็กว่า
“... “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเข้าไปข้างในได้อย่างไรล่ะ”อลิซถาม
เจ้ามหาดเล็กพูดต่อไปโดยไม่มองหน้าเธอ
“ถ้าหากว่ามีประตูขวางอยู่ระหว่างเรา เธอก็น่าจะเคาะ
เป็นต้นว่าเธออยู่ข้างในเธอก็ควรจะเคาะ
ฉันจะได้เปิดให้เธอออกมาเข้าใจไหม”
(อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์,คาร์รอล,ระวี ภาวิไล, หน้า71)
สุดท้ายแล้วอลิซก็ไม่ได้รับคำตอบจากมหาดเล็กว่าเธอควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้เข้าไปในบ้าน
เธอจึงตัดสินใจเลิกเคาะประตูแล้วเปิดประตูเดินเข้าไป คำพูดของมหาดเล็กแสดงให้เห็นถึงความคิดที่ไร้สาระของผู้ใหญ่
ที่ผลักดันให้เด็กต้องหาทางแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
พระราชินีโพแดง
เป็นตัวละครผู้ใหญ่ที่ดูไม่เหมาะจะเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดโดยเฉพาะกับตำแหน่งพระราชินี
ที่ควรจะมีเหตุมีผล ยุติธรรมและมีเมตตา แต่พระราชินีกับมีลักษณะนิสัยแตกต่างกับสิ่งที่ควรจะเป็นทั้งหมด
ทั้งเอาแต่ใจ อารมณ์ร้อน ใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา ตัดสินใจรวดเร็ว
ใช้อำนาจในทางที่ผิด คำที่พระราชินีพูดบ่อยที่สุดคือ “เอามันไปตัดหัว”
ในเกมโครเกต เกมที่อลิซไม่มีทางชนะ
เพราะประตูจะวิ่งตามลูกที่ราชินีตีเสมอๆ ไม่มีความยุทติธรรมสำหรับเด็กอย่างอลิซที่นี้
เกมนี่จึงเปรียบเหมือนเวลาที่เด็กๆไปอยู่ในเกมของผู้ใหญ่ไม่มีทางที่เด็กจะชนะได้
เพราะผลของการตัดสินมันได้ขึ้นอยู่กับใจผู้ใหญ่เหล่านั้นแล้วอีกทั้งราชินียังมีความเชื่อที่ว่า
“พิพากษาก่อนแล้วจึงพิจารณา” (อลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์,คาร์รอล,ระวี
ภาวิไล, หน้า141)
คือลงโทษก่อนแล้วค่อยฟังความนั้นเองก็เปรียบได้กับผู้ใหญ่ที่มักไม่ฟังเหตุผลของเด็กและมักจะทำโทษเด็กก่อนที่เด็กจะได้อธิบาย
ในอลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ยังสะท้อนสังคมของผู้ใหญ่ผ่านมุมมองของเด็กที่เห็นว่า
สังคมของผู้ใหญ่ก็คือwonderland สวนที่สวยงามมีระเบียบเรียบร้อย
เด็กๆต่างอยากจะเข้าไปเพราะเด็กๆทุกคนล้วนอยากโตเป็นผู้ใหญ่ อลิซเองก็พยายามอย่างมากเพื่อให้ได้เข้าไปในwonderland อลิซต้องดูเปลี่ยนขนาดตัวทั้งหดและขยายหลายรอบเพื่อที่จะได้เข้าไปยังWonderlandได้ตีความหมายได้ว่าการจะโตเป็นผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
กว่าเราจะโตเราก็ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลย
เด็กหลายๆคนมักเกิดความสับสนเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น
ดิฉันตีความว่าอลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์สื่อสารเรื่องนี่ผ่านฉากดังต่อไปนี้ อลิซเจอกับหนอนผีเสื้อผู้สูบมอระกู่ผู้ที่นั่งอยู่บนเห็ดวิเศษ
คำถามแรกที่เจ้าหนอนถามเมื่อเจออลิซ คือ เจ้าเป็นใคร แม้จะเป็นคำถามง่ายๆ
แต่อลิซก็ไม่สามาถตอบได้เพราะเธอไม่มันใจว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นแล้วหรือเปล่า
เธอรู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปหลายหนมาก เปรียบได้กับช่วงเวลาที่เด็กกำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่เด็กๆต้องค้นหาตัวตนของตัวเอง
และอลิซก็ได้พูดหนอนผีเสื้อว่า “แต่ถ้ามื่อใดเธอกลายเป็นตัวด้วง
ซึ่งเธอก็คงต้องกลายเป็นเข้าสักวัน แล้วก็กลายเป็นผีเสื้อไป
ฉันคิดว่าตอนนั้นเธอคงจะรู้สึกพิลึกๆบ้าง” “ นิดเดียวก็คงไม่เป็นไร“เจ้าหนอนตอบ” (อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์, คาร์รอล, ระวี ภาวิไล, หน้า58)
จากบทสนทนาตรงี้สามารถตีคามได้ว่า
หนอนผีเสื้อกำลังบอกว่าการเปลี่ยนแปลงมันเป็นเรื่องธรรมดา
ที่ต้องเกิดขึ้นไม่ต้องกังวลที่จะรู้สึกพิลึกๆไปบ้าง
และนอกจากตัวตนที่เธอจะต้องค้นหาแล้วนั้นการจะเป็นผู้ใหญ่
อลิซจะต้องเลือกทางเดินด้วยตัวเธอเอง เห็นได้จากเหตุการณ์ต่อไปนี้
อลิซเข้าไปถามทางกับแมวเซไซร์
“ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่า ฉันควรจะทางไหน”
“นั่นแล้วแต่ว่าเธออยากจะไปไหน”เจ้าแมวพูด
“ฉันไม่วิตกว่าจะไปถึงไหน”อลิซพูด “ถ้ายังงั้นก็
ไม่แปลกว่าเธอจะไปทางไหน”เจ้าแมวพูด “ขอให้
ฉันไปถึงที่ไหนสักแห่งก็แล้วกัน” อลิซพูดต่อไป
เพื่อเป็นคำอธิบาย
“อ๋อ เธอต้องถึงแน่ๆ” เจ้าแมว
ตอบ“ถ้าเธอเดินไปนานพอ”
(อลิซ
ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์,คาร์รอล,ระวี ภาวิไล, หน้า77-78)
จากประโยคคำแนะนำของแมวเซไซร์อาจะฟังดูเหมือนมันกำลังพูดกวนประสาทอลิซ
แต่หากมองอีกมุม การถามเส้นทางของอลิซก็เปรียบเทียบได้ถามเจ้าแมวว่าตั้งเป้าหมายในชีวิตของเธอคืออะไร
เจ้าแมวจึงตอบว่าก็แล้วเธออยากไปไหนละเพราะหากเราไม่ทราบว่าเป้าหมายของเราคืออะไร
การเดินทางของเราก็จะสับสนไร้ทิศทาง ตอนเป็นเด็กๆเวลามีใครถามว่าโตขึ้นอยากทำอาชีพอะไรเด็กหลายคนก็ยังไม่สารถตอบคำถามได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วคนกำหนดทางเดินชีวิตของเราก็คือตัวเราเอง(เหมือนอลิซที่สุดท้ายก็เลือกเองว่าจะไปทางไหน)
ประโยคที่ว่า “อ๋อ เธอต้องถึงแน่ๆ...ถ้าเธอเดินไปนานพอ”หมายถึงเราจะต้องไปถึงเป้าหมายแน่ๆถ้าเรามีความพยายามและไม่ถอดใจไปซะก่อน
เมื่ออลิซได้เข้ามาสัมผัสกับWonderlandจริงๆแล้ว เธอกลับพบว่ามันไม่ได้สวยงามหรือมีระเบียบระบบอย่างที่คิดไว้ เพราะบางครั้งพวกผู้ใหญ่ก็ไม่ได้มีเหตุผลและยังทำอะไรที่งี่เง่าไม่ต่างจากเด็กๆเลย
เช่น เจ้าหมวกสวมหมวกที่ตัวเองทำไว้ขายแถมมีป้ายราคาแปะไว้ตลอดเวลา เจ้าหมวก
กระต่ายมีนาและเจ้ากระแตนั่งกินน้ำชาอยู่ตลอดเพียงเพราะนาฬิกาหยุดเดินที่เวลาน้ำชา
การตัดสินคดีความขนมถาดหายที่ไม่มีความยุติธรรม ดังนั้น หากผู้ใหญ่มองว่าสิ่งที่เด็กคิด
พูด กระทำเป็นเรื่องไร้สาระ ในอลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ก็สื่อให้เห็นว่าในทางกลับกัน
เด็กก็มองว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ คิด พูด กระทำก็เป็นเรื่องไร้สาระเช่นกัน
แบบนี่แสดงว่าเราไม่ควรเชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างนั้นหรือ คำตอบคือไม่ใช่ เรายังคงต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่หากคำสั่งสอนเหล่านั้นมีประโยชน์กับตัวเราแต่หากสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่น่าปฏิบัติตาม
อลิซก็ได้บอกวิธีปฏิบัติแล้วว่าเราควรทำอย่างไร เราสามารถเลือกที่ปฏิเสธ หรือพากตัวเองออกจากเหตุการณ์เพี้ยนๆที่พวกผู้ใหญ่ทำได้เช่นเดียวกับอลิซ
ดังตอนจบในเรื่องอลิซถูกราชินีสั่งตัดหัวและราชาก็บัญญัติกฏว่าคนที่ตัวสูงอย่างเธอจะต้องถูกไล่ออกไป
อลิซจึงตอบกลับไปว่า “ใครจะกลัว...เป็นแค่ไพ่สำรับหนึ่งเท่านั้นเอง” (อลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์,คาร์รอล,ระวี ภาวิไล, หน้า141)แล้วเธอก็ตื่นขึ้นจากความฝัน
สิ่งที่ทำให้อลิซไม่ได้ดูเป็นเด็กดื้อเด็กก้าวร้าวก็เมื่อสิ่งที่ตัวละครผู้ใหญ่ในเรื่องทำหรือสั่งให้อลิซทำ
มันไม่เข้าท่าและพวกผู้ใหญ่ก็มีลักษณะเพี้ยน เป็นที่พึ่งไม่ได้ดังที่กล่าวมาทั้งหมดจึงทำให้การที่อลิซเลือกที่จะดื้อไม่ทำตามจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดและไม่ได้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าอลิซเป็นเด็กไม่ดี
แต่การที่ผู้ใหญ่ในเรื่องไร้เหตุผลและไร้สาระพึ่งพาไม่ได้นั้น
มันก็ทำให้อลิซเกิดการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเธอเองทำให้อลิซค่อยๆโตขึ้นในแง่วุฒิภาวะ
การเข้าไปในwonderland
จึงเหมือนเป็นการก้าวข้ามวัยเด็กไปสู่การโตขึ้นเพราะคนเราจะแสดงศักยภาพที่สูงที่สุดออกมาเมื่อพบว่าไม่มีที่พึ่งอีกต่อไปแล้ว
ตอนเราเด็กๆเรามักจะขอให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลือเสมอๆแต่การจะโตขึ้นได้คือเราต้องเริ่มพึ่งพาตัวเองให้ได้
แม้มันจะเป็นเพียงความฝันแต่เหตุการณ์ต่างๆที่อลิซได้เรียนรู้จากความฝันอันแสนอัศจรรย์ในครั้งนี้จะทำให้เธอคนที่ตื่นขึ้นแตกต่างจากเธอตอนก่อนหลับหลายเท่านักตอนนี่เธอกลายเป็นอลิที่พร้อมจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์
เจดีย์ เจลดา
บรรณานุกรม
คาร์รอลล์, ลูอิส.(2543). อลิซ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์. แปลจากAlice’s
Adventure in Wonderland. แปลโดย ระวี
ภาวิไล.กรุงเทพฯ: ดอก
หญ้า.
หญ้า.
ปีศาสความฝัน. Alice
in Wonderland :อลิซในแดนมหัศจรรย์(พันลึก).
สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559,
จากhttp://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dream-devil&month=01-04-2010&group=1&
amp;gblog=27
จากhttp://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dream-devil&month=01-04-2010&group=1&
amp;gblog=27
พี่อติน. วิจารณ์หนังสือ: การผจญภัยของอลิซในแดนมหัศจรรย์ อลิซผจญภัยในโลกกระจก และ
ครั้งหนึ่งฉันนั้นคืออลิซ. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม
พ.ศ. 2559, จากhttp://www.dek-d.com/writer/39605/
พ.ศ. 2559, จากhttp://www.dek-d.com/writer/39605/
lilith wong . { หนึ่งวันว่าง กับ :
แดนมหัศจรรย์...อลิซ...กระจกเงา และนกโดโดผู้เดียวดาย }. สืบค้นเมื่อวันที่
18 มีนาคม พ.ศ. 2559,
จากhttp://lilithwong.exteen.com/20120626/entry
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น