วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

A Monster calls จงยินยอมรับความเจ็บปวดและก้าวข้ามมันไป

วิเคราะห์ความสัมพันธ์นิทานทั้ง3เรื่องของปีศาจกับการเติบโตของคอเนอร์ - โดย เจลดา
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
           A Monster calls ผู้มาเยือนหลังเที่ยงคืน หนังสือเล่มแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี และรางวัลภาพประกอบยอดเยี่ยมแห่งปีในเล่มเดียวกันโดย Patrick Ness ต่อมาได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย
A Monster calls เป็นวรรณกรรมในลักษณะเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า คือภายในเรื่องราวของตัวละครหลักก็มีการเล่านิทานซ้อนอยู่ถึงสามเรื่องด้วยกัน โดยนิทานทั้งสามจะทำให้ตัวละครหลักได้ค่อยๆเติบโตและเรียนรู้นั่นเอง
A Monster calls คือ เรื่องรางของ คอเนอร์ เด็กชายวัย13ปีที่ต้องทนกับการฝันร้ายทุกคืน ฝันร้ายมันเริ่มขึ้นเมื่อแม่ของเขาเริ่มป่วยหนัก อาการป่วยของแม่ทำให้ชีวิตเขาทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนเปลี่ยนไป และเขาเองก็ตั้งรับมันไม่ทัน เมื่อเขาไม่อาจยอมรับความจริงและการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเกิดขึ้นได้ เขาจึงเรียกปีศาจต้นยูออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือแค่ความฝันแต่เขาจะพบกับปีศาจในเวลา 24:07 นาฬิกาเท่านั้น
 ปีศาจต้นยูเล่านิทานสามเรื่องให้เขาฟังเพื่อให้เขาเข้าใจโลกและยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ โดยเมื่อเรื่องที่สามจบลงคอเนอร์จะต้องเล่าเรื่องที่สี่ด้วยตัวเอง กล่าวคือเมื่อเวลานั้นมาถึง แม้มันจะยากลำบากหรือเจ็บปวดมากเพียงใดเขาก็ต้องยอมรับกับการจากไปของแม่และก้าวเดินต่อให้ได้
            เรื่องเล่าเรื่องที่หนึ่ง: เรื่องราวของเจ้าชายผู้เป็นฆาตกร เขาใช้ชีวิตของลูกสาวชาวนาคนรักของตัวเองเป็นเครื่องมือ เพื่อทวงบัลลังก์คืนจากแม่มดและป้ายความผิดว่านางเป็นคนสังหารเธอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ปีศาจต้นยูก้าวเดินเพื่อไปช่วยนาง  นิทานเรื่องนี้สื่อว่าในโลกแห่งความจริงนั้นไม่มีแค่ขาวและดำ คนส่วนใหญ่จะอยู่ตรงกลาง คือคนเรามีทั้งดีและเลวปะปนกันอยู่ในตัวนั่นเอง การเป็นแม่มด ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องสังหารลูกสาวชาวนา นอกจากจะโยนความผิดและหลอกทุกคนว่าแม่มดเป็นคนฆ่าคนรักของเขาแล้ว เจ้าชายยังหลอกตัวเองให้เชื่อแบบนั้นด้วย เขาได้กล่าวกับต้นยูว่า
ในเมื่อพระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนเพื่อปกป้องอาณาจักร สาวงามของพระองคก็เช่นกัน
ความตายของนางจะช่วยโค่นล้มความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่
ตอนที่เจ้าชายทรงรับสั่งว่าพระราชินีเป็นคนฆ่าเจ้าสาวของพระองค์
พระองค์ทรงเชื่อว่ามันเป็นความจริงในแบบของพระองค์

บางคั้งคนเราก็จำเป็นต้องโกหกตัวเองมากที่สุด
 (A monster calls, Patrick Ness, หน้า62)
คอเนอร์ไม่ชอบเรื่องนี้ นั้นก็เป็นเพราะ คนเรามักตัดสินอะไรสักอย่างจากสิ่งที่เราเข้าใจ ไม่ใช่จากความจริง เมื่อคอเนอร์หลอกตัวเองว่าแม่จะดีขึ้น และเขาอยู่เองได้ คุณยายจึงกลายเป็นแม่มด ที่กล่าวโทษทั้งหมดให้เธอ
            เรื่องเล่าเรื่องแรก ปีศาจต้นยูเล่าให้คอเนอร์ฟังหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่แม่เขาอาการทรุดหนัก คุณยายจึงต้องมาอยู่ด้วย คอนเนอร์ไม่ชอบคุณยาย คุณยายจึงเปรียบได้กับแม่มดที่ขึ้นยึดคลองบัลลังก์ของเจ้าชายไปเมื่อพระราชาสวรรคต เพราะคุณยายจะนอนในห้องของเขาและเขาต้องลงไปนอนที่โซฟา สิ่งที่เคยเป็นของเขาพื้นที่ของเขาได้หายไปหมด แต่ความจริงที่คอเนอร์ลืมคิดก็คือการที่เขาไม่ชอบคุณยาย ไม่ได้หมายความว่าคุณยายจะมาเพื่อยึดเอาความสุขของเขาไป เพราะความจริงก็คือคุณยายมาเพื่ออยู่ช่วยดูแลเขา นิทานเรื่องนี้จะช่วยให้คอเนอร์ยอมที่จะไปอยู่กับคุณยายได้
            เรื่องเล่าเรื่องที่สอง: เรื่องราวของคนปรุงยาที่ต้องการโค่นต้นยูเพื่อนำมาทำยารักษาโรคต่างๆ แต่มีบาทหลวงท่านหนึ่งได้ขัดขวางเขา เพราะบาทหลวงเชื่อเรื่องการแพทย์สมัยใหม่ และบาทหลวงยังเทศนาให้ชาวบ้านเลิกไปรักษากับคนปรุงยาอีกด้วย วันหนึ่งลูกสาวทั้งสองของเขาป่วยหนักไม่มีหมอคนใดรักษาได้ยกเว้นคนปรุงยา บาทหลวงจึงยอมทุกอย่างเพื่อให้คนปรุงยารักษาลูกๆ แต่คนปรุงยากลับปล่อยให้เธอทั้งคู่ตายไป นั้นเป็นเหตุให้ปีศาจต้นยูก้าวเดินเพื่อไปพังบ้านของบาทหลวง
บาหลวงผู้ที่มีชีวิตอยู่ได้จากความเชื่อและศรัทธา แต่แรกเขาไม่เชื่อว่าคนปรุงยาจะรักษาใครได้และเขาทำลายคนปรุงยาด้วยการเทศนา ครั้งต้องการความช่วยเหลือกลับละทิ้งทุกความเชื่อ แม้ภาพลักษณ์คนปรุงยาจะแย่กว่าบาทหลวงแต่คนปรุงยาก็ช่วยรักษาคนในขณะที่บาทหลวงไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น
ประโยคในนิทานที่ว่า ผู้คนอาศัยบนพื้นดินแทนที่จะอยู่ภายในพื้นดิน” (A monster calls, Patrick Ness, หน้า99) สื่อถึงการที่บาทหลวงเชื่อเรื่องกาแพทย์สมัยใหม่ คิดว่าจะอยู่เหนือธรรมชาติได้ นั้นก็เป็นอีกสาเหตุที่ความเชื่อของเขาคราดชีวิตลูกทั้งสองของขาไป
คอเนอร์ไม่ชอบนิทานเรื่องนี้เช่นเดิม แต่เขาก็ร่วมวงทำลายล้างบ้านบาทหลวงร่วมกับปีศาจ ซึ่งมันคือการทำลายบ้านของคุณยายเขานั้นเอง
เรื่องเล่าเรื่องที่สอง ปีศาจต้นยูเล่าให้คอเนอร์ฟังหลังจากเกิดเหตุการณ์ ที่เขาไม่สามารถไปอยู่กับพ่อของเขาได้ และอาจจะต้องอยู่กับคุณยายต่อไป ซึ่งนั้นหมายถึงการเตรียมการเมื่อแม่ของเขาตายไป
นิทานเรื่องนี้อาจจะบอกเป็นนัยๆว่าท้ายที่สุด แม้จะมีความหวัง แต่ความจริงลึกๆที่เชื่อไปแล้วนั้นแหละคือคำตอบ คำตอบที่ว่าไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้  หลังจากเล่านิทานเรื่องนี้จบ คอเนอร์ก็คิดว่าต้นยูอาจจะรักษาแม่ของเขาได้แต่ปีศาจตอบเขาว่า ถ้าแม่ของเธอรักษาได้...ต้นยูก็จะรักษาให้ (A monster calls, Patrick Ness, หน้า137)
            เรื่องเล่าเรื่องที่สาม: มนุษย์ล่องหน ปีศาจเล่าผ่านประสบการณ์ตรงของคอเนอร์ที่เขารู้สึกไร้ตัวตนที่โรงเรียน เพราะทุกคนรู้เรื่องที่แม่เขาป่วยหนัก ทุกคนจึงมองเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในนิทานเรื่องนี้มนุษย์ล่องหนได้พยายามทำให้ตัวเองมีตัวตน คอเนอร์เองก็เช่นกัน แต่เขาเลือกวิธีการทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นคนสุดท้ายที่กำลังจะเลิกมองเห็นเขา และผลของการกระทำนั้นก็คือ เขาได้รับความสนใจมากขึ้นและไร้ตัวตนมากขึ้นไปด้วย
            เรื่องเล่าเรื่องที่สาม ปีศาจต้นยูเล่าให้คอเนอร์ฟังหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่แฮร์รี่ เด็กชายที่เป็นคนเดียวที่มองเห็นเขา แกล้งเขา กำลังจะมองไม่เห็นเขาอีกต่อไป นั้นทำให้เขาโกธรมาก
คอเนอร์ได้รับความสนใจและสงสารเป็นพิเศษจากเรื่องแม่ ซึ่งนั่นทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาอาจจะได้สิทธิ์พิเศษ เช่นทำอะไรก็ไม่โดนลงโทษ นั่นทำให้เขาโหยหาความปกติอย่างคนอื่น และเต็มใจให้แฮร์รี่แกล้ง(ลงโทษ)เขา แต่เขาคิดไปเองรึเปล่าว่าเขาเป็นมนุษย์ล่องหน เขาแค่มองไม่เห็นความสนใจของคนรอบข้าง จริงๆเขาได้รับความสนใจมากเกินไปด้วยซ้ำ ทุกคนอาจจะเห็นเขามาโดยตลอดเพียงแต่ไม่กล้าที่จะเขามาพูดคุยด้วยก็เท่านั้น
พอเขาทำร้ายแฮร์รี่ เขาจึงได้รับความสนใจจริงๆในแบบที่เขามองเห็นได้ชัดเจน ทุกคนมองมาที่เขา แต่หลังจากนั้นทุกคนจะพยายามไม่มองเห็นเขาอีกต่อไป คอเนอร์ไม่ใช่มนุษย์ล่องหนอีกต่อไป เวลานี้ทุกคนเห็นเขาแล้ว แต่เขากลับอยู่ห่างไกลออกไป” (A monster calls, Patrick Ness, หน้า156)
            นิทานทั้งสาม มีจุดร่วมเดียวกันคือ อย่าตัดสินอะไรจากสิ่งที่เราเข้าใจไปเองจงหาความจริงในความซับซ้อนของมนุษย์ เรื่องแต่ละเรื่องจะค่อยๆปรับความคิดของคอเนอร์ให้เข้าใจสถานการณ์เรื่องแม่ของเขา และยอมพูดความจริงในใจ
ความจริงที่ว่า เขารู้อยู่ลึกๆว่าแม่ของเขาจะตาย เขาต้องทนทุกข์อยู่กับปัญหาที่มาจากสิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อแม่ป่วย(อาการของแม่, ต้องไปอยู่กับคุณยาย, เพื่อนๆที่โรงเรียน)มันเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าเด็กอายุเท่าเขาจะแบกรับได้ และเขาต้องการหยุดความทุกข์นี้ แต่มันก็เท่ากับการปล่อยให้แม่เขาตายไปเพื่อจบเรื่องพวกนี้หรือ เขารู้สึกผิดที่คิดแบบนั้น และ เขาไม่อยากให้แม่เขาตาย
เรื่องสุดท้ายที่คอเนอร์จะต้องเล่าเอง คือการยอมรับความรู้สึกซับซ้อนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น แล้วปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไป ในตอนที่แม่ของเขาตกลงไปในหลุมและเขาจับมือแม่ไว้ แม่บอกว่า อย่าปล่อยมือ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจรั้งแม่เอาไว้ได้ แม่เขาหนักเกินไป และเธอก็หลุดจากมือเขา คอเนอร์บอกว่าแม่ล่วงลงไปเอง แต่ปีศาจบอกว่าคอเนอร์เป็นคนปล่อยแม่ไปและเขาต้องพูดความจริง ถ้าไม่เช่นนั้ปีศาจจะฆ่าเขา ตรงจุดนี้ทำให้รับรู้ได้ว่า เขาไม่อาจสู้กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้ มีเกิดก็ต้องมีตาย เพราะความเจ็บปวดที่ยื้อแม่ไว้ทำให้เขาทำได้แค่ปล่อยแม่ไป และการยอมรับความจริงจะทำให้เหลุดออกจากบ่วงความรู้สึกผิด ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่ปีศาจบอก คือ ความจริงจะตามมาหลอกหลอนเขา และมันจะฆ่าเขา
ในที่สุดคอเนอร์ก็ยอมพูด
 ผมทนไม่ได้ที่รู้ว่าแม่จะต้องจากไป! ผมแค่อยากให้มันจบลง...ผมรู้มาตลอดว่าแม่จะไม่รอด รู้แทบตั้งแต่แรกเริ่มต้น แม่บอกว่าแม่ดีขึ้น เพราะแม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยิน และผมเชื่อแม่แต่จริงๆแล้วผมไม่เชื่อ
(A monster calls, Patrick Ness, หน้า188-189)
ปีศาจพูดว่า ใจหนึ่งของเธอภาวนาให้มันสิ้นสุดลง แม้ว่ามันจะหมายถึงการสูญเสียแม่ก็ตาม
(A monster calls, Patrick Ness, หน้า190)
เรื่องเล่าทั้งหมดทำให้คอเนอร์เขาใจว่ามนุษย์นั้นซับซ้อน เขาเองก็เช่นกัน การที่เขาต้องเจ็บปวดกับความคิด ความรู้สึกผิด ความเชื่อ และคำโกหก ที่เขารู้ความจริงอยู่ตั้งแต่ต้น ปีศาจได้บอกวิธีสู้กับสิ่งเหล่านี้ไว้แล้วว่า สิ่งที่เธอคิดไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือสิ่งที่เธอทำ (A monster calls, Patrick Ness, หน้า192)
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น