วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

The Wonderful Wizard of Oz สิ่งที่คุณตามหาอาจอยู่ภายในตัวคุณเอง



(วิเคราะห์กระบวนการเติบโต การตามหาตัวตน การค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ในบริบทของตัวละคร)

            วรรณกรรมเยาวชน เรื่อง พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ หรือ The Wonderful Wizard of Oz โดย ลีแมน แฟรงก์ บอม การผจญภัยของห้าตัวละครหลัก ได้แก่ เจ้าหุ่นไล่กา, ชายตัดไม้ดีบุก, เจ้าสิงโต, เด็กหญิงโดโรที และ เจ้าหมาน้อยของเธอโตโต้ เพื่อค้นหาหนทางกลับสู่บ้านของพวกเขา  และระหว่างการเดินทางที่แสนยาวนานพวกเขาก็ได้สิ่งที่สำคัญกว่าจุดหมายอย่างบ้าน แต่คือการได้ค้นพบตัวเอง
พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ คือ เรื่องราวการเดินทางของโดโรทีเด็กสาวที่ถูกพายุไซโคลพัดจากบ้านไร่แคนซัส มายังดินแดนวิเศษพร้อมกับเจ้าหมาน้อยโตโต้ เธอได้สวมรองเท้าเงินวิเศษของแม่มดชั่วร้ายประจำทิศตะวันออก และออกเดินทางไปตามพื้นที่ปูด้วยอิฐสีเหลืองตามคำแนะนำของแม่มดใจดีประจำทิศเหนือโดยมีจุดหมายคือเมืองมรกตเพื่อขอร้องพ่อมดออซให้ช่วยส่งเธอกลับบ้าน
เธอมีเพื่อนร่วมการเดินทางครั้งนี้เป็น เจ้าหุ่นไล่กาที่ต้องการจะขอสมองจากพ่อมด, ชายตัดไม้ดีบุกที่ต้องการขอหัวใจจากพ่อมด,และ เจ้าสิงโตที่ต้องการขอควมกล้าหาญจากพ่อมด
ระหว่างการเดินทางอันยาวนานพวกเขาเจออุปสรรค์มากมาย เจ้าหุ่นไล่กามักมีความคิดดีๆเสมอ, ชายตัดไม้ดีบุกก็มักจะอ่อนไหวเสมอ, และพวกเขาก็ต้องพึ่งความกล้าหาญของเจ้าสิงโตอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองมรกต พ่อมดออซกลับไม่ใช้พ่อมดวิเศษผู้ยิ่งใหญ่ตามที่พวกเขาคาดหวัง แต่กลับเป็นชายแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือด้วยเวทมนต์วิเศษแต่ทุกตัวละครก็ได้พบว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการ ด้วยตัวพวกเขาเอง

 โดโรทีถูกพายุไซโคลพัดออกจากบ้านเกิดที่แคนซัส เนื้อเรื่องได้บรรยายความอึมครึมและไม่น่าอยู่ของแคสซัสอย่างชัดเจน ซึ่งตรงกันข้ามกับดินแดนแห่งมันช์กินส์ที่เธอถูกพายุหอบมาถึง เพราะดินแดนแห่งนี้ทั้งสดใสและมีสีสัน รวมถึงเมืองมรกตของพ่อมดออซที่เป็นเหมือนเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางที่ร่ำรวยซึ่งคือปลายทางของเธอ
พายุไซโคลในที่นี้อาจหมายถึงกระแสสังคมที่ดึงให้สาวชาวบ้านเดินทางออกจากบ้านเกิดสู่ความศิวิไลซ์ในเมืองหลวง ระหว่างทางก็ได้เก็บเกี่ยวประสบกรณ์แเละพบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่สวยงาม แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องโหยหาที่จะกลับบ้านเกิดของตัวเอง
จากบทสนทนาระหว่างโดโรทีและเจ้าหุ่นไล่กา
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอจึงอยากจากดินแดนอันแสนสวยงามแห่งนี้กลับไปยังดินแดนที่หม่นหมองแห้งแล้งที่เธอเรียกว่าแคนซัส
ก็เพราะเธอไม่มีสมองน่ะสิ...ไม่ว่าบ้านจะหม่นหมองและเงียบเหงาแค่ไหน คนที่มีเลือดเนื้ออย่างเรา ก็อยากอยู่ที่บ้านของเราเองมากกว่าดินแดนอื่นแม้จะงดงามเพียงใดก็ตาม ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า67-68)
บ้านในที่นี้อาจตีความได้สองความหมาย คือ บ้านที่อยู่จริงๆ และ บ้านในใจ หรือตัวตนที่แท้จริงนั่นเอง
จากบทสนทนาข้างต้นเพราะเหตุใดโดโรทีจึงอยากกลับบ้านที่แคนซัส แน่นอนว่าเธอต้องมีความผูกพันกับแคนซัส คุณลุงและคุณป้าของเธอ เธอเองไม่ได้แปรผันไปตามดินแดนวิเศษนี้ นั้นหมายถึงเธอรู้ถึงรากเหง้าของตัวเอง มีความหนักแน่นและรู้จักตัวเอง การตามหาทางกลับบ้านจึงไม่ได้เป็นเพียงการหาทางกลับบ้านธรรมดาๆและเป็นการตามหาตัวตนที่แท้จริงของเธอไปพร้อมๆกัน
การได้จากบ้านเกิด และออกเดินทางของโดโรทีมีประโยชน์ เพราะการได้ไปอยู่ในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยจะทำให้เราได้ค้นพบความสามารถหรือได้รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น โดโรทีถูกพายุหอบมาไกลจากผู้ปกครอง(คุณลุง,คุณป้า)ทำให้เธออยู่ในสภาวะที่ต้องพึ่งพาตัวเองรวมทั้งดูแลเจ้าหมาน้อยโตโต้ และเป็นอิสระจากการควบคุมดูแลของผู้ใหญ่ โดยรองเท้าเงินวิเศษที่โดโรทีสวมไว้ อาจเป็นสัญลักษณ์แทน ความอิสระ
และ  นอกจากโดโรทีเองตัวละครหลักอื่นๆก็ยังจากถิ่นที่อยู่ของตัวเองเช่นกัน เจ้าหุ่นไล่กาออกจากไม้ค้ำ, ชายตัดไม้ดีบุกได้หยอดน้ำมันจนขยับได้อีกครั้งและออกเดินทางร่วมกับโดโรที เช่นเดียวกันกับเจ้าสิงโตที่ออกจากป่า และแน่นอนว่าท้ายที่สุดทุกตัวละครจะได้กลับบ้าน หรือ สถานที่ที่เหมาะกับพวกเขา

การค้นหาสมองของเจ้าหุ่นไล่กา : 
อัตลักษณ์ของเจ้าหุ่นไล่กาที่สังคมมอบให้สามารถรับรู้ได้ผ่านคำพูดของเจ้าหุ่นไล่กา ที่ว่า ...เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นหุ่นถูกยัดด้วยฟาง ดังนั้นฉันจึงไม่มีสมอง
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม,  หน้า63)
 เพราะมันเป็นเพียงหุ่นที่ถูกยัดด้วยฟาง มันจึงกลายเป็นไม่มีสมอง แต่มันจริงหรือ 
มันกล่าวต่อว่า...ฉันไม่อยากให้ใครเรียกว่าไอโง่ ถ้าหัวฉันมีแต่ฟางยัดแทนที่จะมีสมองอย่างของเธอแล้วฉันจะรู้เรื่องราวต่างๆได้อย่างไรล่ะ
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม,  หน้า64)
ซึ่งการที่มันคิดได้แบบนี้ก็หมายความว่า มันมีสมองแล้วเพียงแต่มันไม่รู้ตัว
เรื่องราวของเจ้าหุ่นไล่กา ทำให้ผู้อ่านทราบว่าความรู้เกิดจากประสบการณ์ และกระบวนพัฒนาของหุ่นไล่กาตัวนี้ก็เหมือนการพัฒนาการของเด็ก มันเล่าว่า อายุของฉันน้อยมาก ฉันจึงแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ...ชาวนาทำหัวฉันขึ้น สิ่งแรกที่เขาทำคือหู...แล้วเขาก็เขียนตาขวาให้ฉัน...ฉันพบว่าตัวเองกำลังจ้องดูเขากับสิ่งรอบกายด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น...แต่ฉันไม่ได้พูดเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าปากเอาไว้ทำอะไร...
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า68-69)
เปรียบกับเด็กทารกในครรภ์มารดาที่รับรู้จากเสียง เมื่อเกิดก็รับรู้ด้วยการมองเห็น และจึงค่อยเรียนรู้ที่จะพูด การที่เจ้าหุ่นไล่การู้น้อยเพราะประสบการณ์น้อยไม่ได้แปลว่ามันไม่มีสมอง
พ่อมดออซยังได้กล่าวไว้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องมีสมองหรอก เธอเรียนรู้อะไรๆได้อยู่ทุกวันเด็กทารกก็มีสมอง แต่เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากนะ ประสบการณ์เป็นสิ่งเดียวที่จะนำมาซึ่งความรอบรู้ และยิ่งเธออยู่ในโลกนี้นานเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า194-195)
ข้อพิสูจน์ว่าเจ้าหุ่นไล่กามีสมองคือ มันแสดงความชาญฉลาดหลายครั้ง เช่น ตอนที่ทุกคนเจอคูน้ำขวางทาง เจ้าหุ่นไล่กาเป็นคนออกความคิดเห็นให้ทุกคนขี่หลังเจ้าสิงโตข้ามไปทีละคน และให้ตัวเองเป็นคนลองก่อนเพราะหากตกลงไปตัวเองเป็นหุ่นไล่กาจะไม่เจ็บ เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเจอกับพ่อมดออซด้วยซ้ำแสดงให้เห็นว่าจริงๆสิ่งที่มันร้องขออยู่ในตัวมันแล้ว ต่อมาพ่อมดออซได้มอบรำผสมหมุดและเข็มใส่ในหัวมันแทนสมอง คล้ายเป็นกุศโลบายให้รู้สึกว่ามันมีสมองแล้ว
ในที่สุดมันก็ได้พบสถานที่ที่เหมาะกับมัน เจ้าหุ่นไล่กาที่ตอนนี้มีสมองหลักแหลม ได้ขึ้นปกครองประชาชนแทนพ่อมดออซที่ล่องบอลลูนกลับบ้านตัวเองไป

การค้นหาหัวใจของชายตัดไม้ดีบุก :
ชายตัดไม้ดีบุกมีความเข้าใจผิดๆว่า ต้องมีหัวใจจึงจะมีความรักได้ แล้วความรักคืออะไร ถ้าหากความรักคือความเมตตา ชายตัดไม้ดีบุกก็ได้แสดงออกว่าเขามีจิตใจที่เมตตาและอ่อนไหวในหลายสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ฉันคงจะร้องไห้แน่ๆ ถ้าเจ้าฆ่ากวางที่น่าสงสาร
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า 92)
และ ชายตัดไม้ดีบุกก้าวไปเหยียบตัวด้วงคลานอยู่บนถนนและแมลงตัวน้อยที่น่าสงสารนั้นตาย เรื่องนี้ทำให้ชายตัดไม้ดีบุกรู้สึกเศร้าโศกมากเพราะมันระวังอยู่เสมอที่จะไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตใดๆ
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า89)
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้เชื่อมโยงถึงสิ่งที่พ่อมดออซพูดกับชายตัดไม้ดีบุกว่า ฉันคิดว่าเธอคิดผิดแล้วล่ะที่ต้องการหัวใจ เพราะมันทำให้คนส่วนมากไม่มีความสุข ถ้าเพียงแต่เธอจะรู้ว่าเธอนั้นโชคดีที่ไม่มีหัวใจ
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า196)
เพราะแท้จริงแล้วชายตัดไม้ดีบุกมีหัวใจ เขาจึงมีทั้งความอ่อนไหวและความสงสารทำให้เขาร้องไห้เสมอๆ
ต่อมาพ่อมดออซได้มอบหัวใจที่ทำด้วยผ้าไหมยัดด้วยขี้เลื่อยให้กับชายตัดไม้ดีบุกเพื่อย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเขามีหัวใจเช่นคนทั่วไปแล้ว และชายตัดไม้ดีบุกก็ยินดีรับผลของการมีหัวใจ เขาพูดว่าสำหรับฉันแล้ว ฉันยินดีทนรับกับความไม่สบายใจทั้งปวง...
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า196)
และในที่สุดชายตัดไม้ดีบุกก็ได้ที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมกับตัวมัน คือการอยู่ปกครองเมืองของพวกวินกีส์
การค้นหาความกล้าหาญของเจ้าสิงโต :      
อัตลักษณ์ของเจ้าสิงโตที่สังคมมอบให้ คือ สิงโตเป็นเจ้าป่าจึงต้องกล้าหาญ เห็นได้จากข้อความดังต่อไปนี้“สัตว์ทั้งหลายในป่ามักคิดว่าฉันกล้าหาญ เพราะที่ไหนๆก็ถือว่าสิงโตเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า87)
นั่นทำให้เจ้าสิงโตเกิดความกังวลเมื่อมันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เพราะมันยังรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีความกลัวอยู่ เจ้าสิงโตพูดกับโดโรทีว่า “ทุกครั้งที่ฉันค้นพบคน ฉันกลัวมาก แต่แค่ ฉันคำรามขู่เท่านั้น เขาก็มักจะวิ่งหนีไป ถ้าช้าง เสือ และหมีได้ลองสู้กับฉัน ฉันก็คงจะเป็นฝ่ายวิ่งหนีไปเพราะฉันขี้ขลาด”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า87)
แต่ความจริงแล้วมีหลายเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางที่เจ้าสิงโตแสดงความกล้าหาญ เช่นสู้กับเจ้าสัตว์ประหลาดเจ้าสิงโตแม้มันจะกลัวมาก แต่ก็หันไปเผชิญหน้ากับตัวกาไลดห์ แล้วส่งเสียงคำรามดังสนั่น”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า 97)
และ เจ้าสิงโตพูดว่า “แต่ยืนอยู่ข้างหลังฉันไว้ ฉันจะสู้กับมันตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า98)
ซึ่งพ่อมดออซได้กล่าวเรื่องความกล้าหาญและความกลัวกับเจ้าสิงโตไว้ว่าเธอมีความกล้าหาญอยู่แล้ว ฉันมั่นใจ...แต่สิ่งที่เธอต้องการ คือความมั่นใจในตนเอง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะไม่ตกใจกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ความกล้าหาญที่แท้จริง คือ การเผชิญหน้ากับอันตรายนั้น”
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า 195)
            พ่อมดออซได้มอบน้ำยาวิเศษในขวดสีเขียว และทำให้เจ้าสิงโตมั่นใจว่ามันมีความกล้าหาญ สุดท้ายเจ้าสิงโตก็ได้เป็นเจ้าป่าสมใจ เมื่อมันมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดในป่าแห่งหนึ่งและช่วยสัตว์ตัวอื่นๆไว้ได้

การค้นหาตัวเองของโดโรที:         
โดโรทีได้รับคำแนะนำจากแม่มดใจดีประจำทิศเหนือให้เธอเดินไปตามทางที่ปูด้วยอิฐสีเหลืองที่จะนำเธอสู่เมื่องมรกตที่ที่เธอจะได้พบพ่อมดออซและขอให้เขาส่งตัวเธอกลับบ้าน แต่พ่อมดออซก็ไม่สามรถช่วยเธอได้ เธอกล่าวกับพ่อมดออซว่า เพราะว่าท่านทรงพลัง ส่วนหนูอ่อนแอ เพราะว่าท่านคือพ่อมดออซผู้ยิ่งใหญ่ และหนูเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า137)
จากข้อความดังกล่าวแสดงว่า เรื่องดำเนินพาโดโรทีมาถึงเมืองมรกตแต่โดโรทียังไม่ได้พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ การเดินทางตามคำแนะนำของแม่มดใจดี อาจแทนการทำตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่ชี้แนวทางให้ และโดโรทีก็ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย เมื่อเกิดปัญหาเธอมีเพื่อนร่วมการเดินทางทั้งสามคอยช่วยเหลือ นั่นแทบไม่ได้ทำให้เธอได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง
เมื่อทุกคนถึงเมืองมรกต พวกเขาต้องรออยู่นานกว่าจะได้เข้าพบพ่อมดออซ อาจสะท้อนว่า กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการต้องใช้เวลา
เมื่อพ่อมดออซบอกให้พวกเขาไปฆ่าแม่มดชั่วร้ายทิศตะวันตก สะท้อนว่า กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการต้องใช้ความพยายาม ซึ่งในตอนที่พวกเขาไปฆ่าแม่มดชั่วร้ายทิศตะวันตก เพื่อนทั้งสามต่างก็ตกที่นั่งลำบาก ทำให้โดโรทีต้องช่วยเหลือตัวเองและเพื่อนๆ ในที่สุดเธอจัดการกับแม่มดชั่วร้ายจนได้
พ่อมดออซได้มอบของในลักษณะกุศโลบายให้แก่ เจ้าหุ่นไล่กา, ชายตัดไม้ดีบุก, และเจ้าสิงโต พ่อมดออซจึงเปรียบเหมือนตัวช่วยที่ทำให้ทุกตัวละครมีความมั่นใจและมาย้ำให้พวกเขารู้สึกถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัว แต่สำหรับโดโรที พ่อมดออซไม่สามารถมอบสิ่งที่โดโรทีต้องการได้ ความจริงคือเธอเกือบได้ขึ้นบอลลูนลอยกลับแคนซัสพร้อมพ่อมดออซแล้วแต่เพราะเจ้าหมาโตโต้หายไปเธอจึงต้องไปตามหาและมาขึ้นบอลลูนไม่ทัน หากสังเกตดีๆเจ้าหมาน้อยโตโต้ก็มีบทบาทต่อการตามหาตัวตนของเธอ
โตโต้กระโจนออกจากอ้อมกอดของโดโรทีในตอนที่พายุไซโครนซัดเข้าใส่บ้าน นั้นทำให้โดโรทีต้องตามจับจนไม่ได้หลบเข้ายังที่หลบภัย และถูกพายุหอบมายังดินแดนวิเศษนี้ และก็เป็นเจ้าโตโต้ที่เปิดโปงพ่อมดออซว่าเขาเป็นเพียงชายแก่ธรรมดา และในตอนนี้ยังทำให้โดโรทีไม่ได้ขึ้นบอลลูนไปกับพ่อมดออซ มันทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงแม้จะดูเหมือนมันได้สร้างเรื่องวุ่นวายนี้ แต่มันก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้โดโรทีต้องออกเดินทางเพื่อค้นพบตัวตนและหนทางกลับบ้าน
เมื่อไม่อาจขึ้นบอลลูนไปกับพ่อมมดออซได้ โดโรทีจึงต้องเดินทางไปหาแม่มดใจดีประจำทิศใต้ที่พึ่งสุดท้าย สถานการณ์นี้สะท้อนว่า โดโรทีต้องลงมือทำเอง ไม่สามารถจะร้องขอหรือรอให้ใครมาช่วยได้
หลังจากที่ทุกตัวละครยกเว้นโดโรทีได้สิ่งที่ตนต้องการแล้ว จึงอาสาจะเดินทางไปหาแม่มดใจดีประจำทิศใต้ กับเธอ ซึ่งการเดินทางนี้เป็นการเดินทางที่พวกเขาเลือกเอง ไม่มีการแนะนำจากแม่มดใจดีประจำทิศเหนือหรือใครอีก
การจะค้นพบตัวตนของตัวเองจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง ความรู้(เจ้าหุ่นไล่หา) จิตใจที่พร้อมรับความเจ็บปวด(ชายตัดไม้ดีบุก) และความกล้าหาญที่จะลงมือทำ(เจ้าสิงโต) เพราะระหว่างทางการค้นหาตัวตน บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่ เราอาจจะต้องสูญเสียน้ำตา และอาจจะรู้สึกหวาดกลัว
เพื่อนทั้งสามของโดโรทีจึงเป็นตัวแทนในรูปธรรมที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสิ่งสามสิ่งนี้ได้ชัดเจน และเมื่อโดโรทีมีเพื่อนทั้งสามเดินทางไปกับเธอ ไม่นานพวกเขาพบเม่มดใจดีประจำทิศใต้
แม่มดใจดีประจำทิศใต้ได้บอกโดโรทีว่าว่าหนทางการกลับบ้านที่เธอตามหาอยู่กับเธอมาตั้งแต่ต้น รองเท้าเงินวิเศษที่เธอสวมสามารถพาเธอกลับบ้านได้ตั้งแต่แรกเริ่ม หากเพียงแต่เธอไม่ได้รู้ว่าเธอมีสิ่งมีค่าอยู่กับตัวแล้ว จนกระทั่งการเดินทางครั้งนี้มาถึงปลายทาง
ทุกตัวละครได้พูดว่า หากไม่มีการเดินทางครั้งนี้...
เจ้าหุ่นไล่กา        ...ฉันก็คงไม่ได้สมองมหัศจรรย์น่ะสิ ฉันคงต้องอยู่ในไร่ข้าวโพดของชาวนาตลอดชีวิต
ชายตัดไม้ดีบุก     ...ฉันก็คงจะไม่มีหัวใจที่แสนเมตตานี้ ฉันอาจต้องยืนตัวขึ้นสนิมอยู่ในป่าจนกระทั่งสิ้นโลก
เจ้าสิงโต            และฉันก็คงต้องอยู่อย่างขี้ขลาดตลอดไป และคงไม่มีสัตว์ตัวไหนในป่าที่จะพูดถึงฉันในทางที่ดี
โดโรที               และฉันก็ดีใจที่ได้ทำประโยชน์ต่อเพื่อนที่ดีเหล่านี้ 
(พ่อมดอัศจรรย์แห่งออซ.  ลีแมน แฟรงก์ บอม, หน้า251-252)
            หนังสือพ่อมดอัศจรรย์แห่งออซได้แสดงเรื่องราวการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง ได้ไปพบประสบการณ์ใหม่ๆห่างไกลบ้านเกิดที่แสนน่าเบื่อ
อย่าได้ไปสนใจว่าสิ่งแวดล้อมพยายามบอกว่าคุณเป็นอะไร หรือควรทำอย่างไร และอย่าหวังพึ่งคนอื่นตลอดไป เพราะสุดท้ายทุกคนต่างก็ต้องเติบโตด้วยตัวเอง และมีเพียงตัวคุณเองที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของคุณได้ แค่คุณต้องเก็บเกี่ยวความรู้, มีหัวใจทีเข้มแข็ง, และมีความกล้าหาญ ในที่สุดวันหนึ่งคุณจะค้นพบสิ่งมีค่าในตัว และจะหาสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเองจนพบ  

โดย เจลดา นิสิตสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็ก มศว                                                                                             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น